วันที่สองของการเที่ยวโตเกียว ต่อจาก entry ก่อน วันนี้ตื่นแต่เช้า ออกมาวัดเซ็นโซจิ ที่อยู่ใกล้ๆ ที่พัก
วัดเซ็นโซจิ เป็นวัดดังอยู่ในย่านอาซาคุสะ ทำให้บางครั้งนักท่องเที่ยวก็เรียกที่นี่กันว่าวัดอาซาคุสะ มาเดินดูช่วงเช้า บรรยากาศจะเงียบๆ หน่อยเพราะร้านค้ายังไม่เปิด นักท่องเที่ยวยังไม่มา
ประตูวัด มีโคมแดงใหญ่เด่นเป็นสัญลักษณ์
ประตูที่มีโคมใหญ่นี่เรียกว่า Kaminarimon (雷門) แปลว่า ประตูสายฟ้า สองข้างจะมีรูปปั้นเทพสายฟ้าและเทพสายลม ไรจิน-ฟูจิน เฝ้าอยู่ มองเข้าไปจะมีร้านค้าขายของหลอกกินตังค์นักท่องเที่ยวตลอดสองข้างทาง ต้องเดินผ่านโซนร้านขายของนี่เข้าไปถึงจะเจอกับตัววัด
ป้าย “Koban” หรือป้อมตำรวจใกล้ๆ วัด ด้านหลังเป็นโฆษณา DVD/Blueray คอนเสิร์ต Request Hour ของ AKB48
มาเช้าเกิน ร้านค้ายังไม่เปิด
เดินผ่านโซนร้านค้าเข้าไป ก็จะเข้าเขตวัด
ตัววัดก็เป็นวัดญี่ปุ่น ขนาดใหญ่ ด้านข้างมีเจดีย์สูง
ข้างวัดมีจัดสวนสไตล์ญี่ปุ่น ร่มรืนดี มีน้ำตก มีน้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา
เนื่องจากแถวนี้เป็นแหล่งนักท่องเที่ยว ไม่ว่ากรุ๊ปทัวร์ประเทศไหนเป็นต้องมาลงที่นี่ เดินออกจากวัดไปนิดเดียวก็เจอของแนวขายนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด
สารพัดหน้ากาก
ภาพด้านหลังเป็นเทศกาลอะไรสักอย่าง ที่ชายหนุ่มจะมาช่วยกันหามเกี้ยว
ทางเท้าที่นี่กว้าง มีทั้งคนเดินและปั่นจักรยาน
เดินไปทางตะวันตกของวัดเรื่อยๆ จะไปทะลุออกถนน Kappabashi ซึ่งเป็นย่านขายของจำพวกเครื่องครัว หม้อ ไห จาน ชาม กระทะ
แต่เพราะว่ายังเช้าอยู่ ร้านส่วนใหญ่ก็เลยยังไม่เปิด
มีเรื่องตลกตรงที่ ชื่อถนน Kappabashi มันจะไปพ้องกับตัว กัปปะ (สัตว์ในนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น) ทำให้ถนนเส้นนี้ประดับตกแต่งด้วยตัวกัปปะอยู่ทั่วไป
กัปปะ
นี่ก็กัปปะ
นี่ไม่ใช่กัปปะ
สี่แยกแถวนั้น มีหุ่นพ่อครัวตัวใหญ่
ปักเป้า
เดินจนกระทั่งหิว ก็ไปหาข้าวเช้ากิน ซึ่งมื้อนี้ก็เป็นร้านกดปุ่มซื้อจากตู้เหมือนเดิม
บรรยากาศในร้าน ลูกค้ายังไม่พลุกพล่าน
จำไม่ได้ว่าที่ไปกินเป็นร้านชื่ออะไร แต่ในบรรดาร้านข้าวหน้าเนื้อในโตเกียว จะมีหลักๆ อยู่ไม่กี่ยี่ห้อ ได้แก่ Matsuya, Sukiya (อันนี้บ้านเรามีสาขาที่เกตเวย์เอกมัย), Yoshinoya (มีหลายสาขาตามห้าง) แล้วก็ Tokyo Chikara Meshi กระจายอยู่ทั่วโตเกียว เรียกว่าเดินไปย่านไหนก็มีร้านข้าวหน้าเนื้อให้กิน
ข้าวหน้าเนื้อพร้อมซุป เซตนี้ 380 เยน น้ำเปล่าเติมฟรี
จัดการอาหารเช้าเสร็จก็เดินย้อนมาทางตะวันออก ข้ามแม่น้ำสุมิดะมาอีกฝั่งหนึ่ง จะเห็นตึกสำนักงานใหญ่ของเบียร์ Asahi สังเกตว่าตึกด้านซ้ายจะเป็นรูปแก้วเบียร์ มีฟองอยู่ข้างบน ส่วนด้านขวาคือ Asahi Beer Hall เป็นตึกตกแต่งด้วยกระจกสีดำ ด้านบนมีเปลวไฟสีทอง ออกแบบโดยนักออกแบบชื่อดัง Philippe Stark
มองจากระยะไกล ด้านหลังจะเห็นโตเกียวสกายทรีด้วย
เข้ามาดูใกล้ๆ บางคนเค้าก็ว่าเหมือนก้อนขี้มากกว่าเปลวไฟนะ
ภาพวาดบนผนัง เนียนเชียว
ร้านมินิมาร์ท Lawson จัดแคมเปญอะไรสักอย่างกับ Jojo Allstar Battle
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับโตเกียวสกายทรี แหล่งท่องเที่ยวใหม่ของโตเกียวที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง
ตรงฐานจะเป็นศูนย์การค้า
มองจากล่างขึ้นบน
โตเกียวสกายทรีเป็น landmark สำคัญแห่งใหม่ ที่สามารถดูดเงินออกจากกระเป๋านักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี นอกจากจะขายตั๋วขึ้นไปชมวิวแล้ว ก็ยังมีศูนย์การค้าที่ด้านล่าง ขายของที่ระลึกอีกต่อหนึ่งอีก
สินค้าหลายๆ อย่างก็จะทำเป็น theme เกี่ยวกับโตเกียวสกายทรี เอาไว้ขายที่นี่โดยเฉพาะ เช่นแมวอ้วนเกาะเสานี่
สินค้าเอวา หลอกกินเงินสาวกมาเป็นสิบปี
สินค้าจากโปรแกรมแชทยอดฮิตก็มี (แต่ห้างอื่นก็มีขายนะ)
Kitty x Evangelion ราคาตามป้าย
โชคดีที่ว่าเดินดูสินค้าพวกนี้แล้วยังข่มใจไว้ไม่ให้ซื้อสำเร็จ ก็ประหยัดเงินไปได้
ก่อนจะไปที่อื่นต่อ แวะถ่ายมุมจากสะพานข้ามคลองแถวนั้น
เป้าหมายต่อไปของวันนี้คือ Edo-Tokyo Museum ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแถวนั้นเท่าไหร่
หน้าตาตึกพิพิธภัณฑ์เอโดะ-โตเกียว
ตั๋วเข้าชมราคา 800 เยน
ซุ้มอะไรสักอย่าง ท่าทางหลอนๆ ดี
Edo-Tokyo Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องความเป็นมาของโตเกียว ตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ชื่อว่าเอโดะ ผ่านช่วงเวลาแต่ละยุค จนกระทั่งเข้าสู่ยุคโตเกียวสมัยใหม่ พื้นที่จัดแสดงงานกว้างขวาง ถ้าไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น เดินสัก 1-2 ชั่วโมงก็ทั่ว
มีอีเวนต์อะไรสักอย่าง น่าจะเป็นป้าๆ มาแสดงดนตรีพื้นเมือง
งานที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์จะมีทั้งข้าวของเป็นชิ้นๆ แล้วก็โมเดลเมืองจำลองที่ทำได้เนี้ยบสุดๆ
โมเดลเมืองจำลอง แสดงถนนสายค้าขายของเอโดะ
ชุดเกราะนักรบอะไรสักอย่าง
สะพานข้ามแม่น้ำและการค้าขายทางเรือ
อ่านป้ายออก แต่แปลไม่ได้
ยุคที่เริ่มได้รับอิทธิพลจากตะวันตก
หลังยุคสงครามที่โตเกียวถูกยึด
โมเดลจำลองสภาพโตเกียวในยุคหลังสงคราม
คนที่สนใจประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นย้อนยุค ไม่ควรพลาดที่นี่ครับ
ออกจากพิพิธภัณฑ์มาก็จะเจอกับอาคารใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ตรงนี้คือ เรียวโกคุโคคุกิคัง ซึ่งเป็นสนามแข่งซูโม่ ความจุ 13,000 ที่นั่ง นอกจากเอาไว้แข่งซูโม่แล้วบางโอกาสก็เอามาจัดแข่งมวยหรือคอนเสิร์ตด้วย
อยู่ถัดจาก Edo-Tokyo Museum เลย
เนื่องจากแถวนี้เป็นย่านซูโม่ เมื่อไปสถานีรถไฟก็จะเจอประดับตกแต่งด้วยของเกี่ยวกับซูโม่
คนนี้น่าจะเป็นแชมป์อะไรสักอย่าง
ภาพพิมพ์มือของนักซูโม่
จบไว้แค่เท่านี้ก่อน ต่อตอนถัดไปครับ
Leave a Reply