กลับมาเขียนเรื่องเที่ยวต่อ วันนี้ออกจากเมืองเบอร์มิงแฮมไปยังเมืองต่อไป แต่คราวนี้ไม่ได้นั่งรถไฟเหมือนคราวก่อน แต่เป็นนั่ง Low cost airline แทน
เมืองเบอร์มิงแฮมมีสนามบินเป็นของตัวเอง (ตัวย่อ BHX) สามารถเดินทางไปถึงได้โดยนั่งรถไฟจากสถานี Birmingham New Street ที่อยู่ใจกลางเมือง ออกไปประมาณ 10 นาที (รถไฟมีชั่วโมงละหลายขบวน) ไปลงสถานี Birmingham International Airport จากสถานีรถไฟก็จะมีรถรางเชื่อมไปที่สนามบินอีกทีนึง (ขึ้นฟรี) สนามบินก็ขนาดไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก ประมาณสนามบินเชียงใหม่บ้านเรา
สถานีรถไฟกับสนามบินมีรถราง AirRail Link เชื่อม
ขึ้นเครื่องของสายการบิน FlyBe
ที่หมายของการเดินทางในวันนี้ก็คือปารีส ประเทศฝรั่งเศส!
ได้นั่งริมหน้าต่าง วิวดี ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งก็ถึง
เนื่องจากเป็น low cost airline ก็ต้องเดินลงเอาเองแบบนี้ ไม่มีงวงช้างมารับ
มาถึงสนามบิน Charles de Gaulle ณ Paris
การเดินทางจากอังกฤษมาฝรั่งเศสสามารถทำได้หลายทาง ทั้งทางเครื่องบิน รถไฟ รถบัส หรือจะนั่งเรือข้ามช่องแคบมาก็ได้ ในการเดินทางคราวนี้เลือกนั่ง Low cost airline เพราะสะดวกสุด และราคาไม่แพง ไม่งั้นถ้าจะนั่งรถไฟ Eurostar ก็ต้องไปขึ้นที่ลอนดอน เสียเวลาเดินทางอีก
สนามบิน Charles de Gaulle (CDG) เป็นสนามบินหลักของฝรั่งเศส อยู่ทางเหนือของปารีส ไกลออกไปประมาณ 25 กิโล ต้องนั่งรถไฟ RER หรือรถบัสเข้าไปในตัวเมืองอีกที ผมเลือกนั่งรถบัส (ชื่อเรียกว่า RoissyBus) หาซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติตรงใกล้ๆ กับป้ายได้เลย ค่าโดยสารคนละ 9.40 ยูโร
ถ้าใครสังเกตเรื่อง locale สักนิดจะเห็นว่า ประเทศทางยุโรปหลายๆ ประเทศจะใช้ comma (,) สลับกับ dot (.) ตรงข้ามกับที่เราคุ้นเคย เช่น เวลาเขียนเลข 1,200.50 ประเทศอย่างฝรั่งเศสจะเขียนเป็น 1.200,50 แทน
ป้ายรอรถ Roissy Bus
การเดินทางมาฝรั่งเศส ต้องใช้วีซ่าสหภาพยุโรป หรือที่เรียกกันว่าเชงเก้นวีซ่า ทำหนเดียว สามารถเดินทางเข้าออกประเทศในกลุ่มเชงเก้นได้หมด ยกเว้นอังกฤษ ที่ดันเป็นไม่ได้อยู่ในกลุ่มเชงเก้นกับประเทศอื่นเค้า ทั้งๆ ที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (แถมเงินยังใช้สกุลของตัวเอง ไม่ได้ใช้เป็นยูโรเหมือนประเทศอื่น)
การทำวีซ่าเข้าฝรั่งเศสจากเมืองไทย จะคล้ายๆ กับวีซ่าอังกฤษ โดยต้องยื่นผ่านตัวแทนชื่อว่า TLSContact (ได้ยินชื่อแล้วก็นึกถึง port 443 ตลอด) ขั้นตอนก็คือเข้าไปลงทะเบียนในเว็บ ตอบคำถามเบื้องต้น แล้วระบบจะให้รายชื่อเอกสารออกมาว่าต้องใช้อะไรบ้าง ส่วนใหญ่ก็เหมือนๆ กับของอังกฤษ จากนั้นก็จองวันยื่นเอกสาร พอถึงวันก็เอาเอกสารไปยื่นที่สำนักงานตรงสาทร คนน้อยกว่าของอังกฤษมาก ใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อย เทียบกับของอังกฤษที่เสียเวลารอเกือบทั้งวัน
กรณีของผมออกจะวุ่นวายนิดนึง เพราะว่าไปสองประเทศ ต้องขอวีซ่าของประเทศแรกที่จะไป (อังกฤษ) ก่อน แล้วค่อยไปยื่นขอของฝรั่งเศส ก็จะเสียเวลาพอสมควร (เสียค่าวีซ่าสองต่อด้วย T-T)
กลับมาที่เรื่องการเดินทางเข้าปารีส ถ้านั่งรถไฟ RER ไม่รู้ว่าจะผ่านให้เห็นอะไรบ้าง ก็เลยลองนั่งรถบัสดู เผื่อจะได้เห็นบ้านเมือง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูเท่าไหร่ อารมณ์ประมาณนั่งรถจากรังสิตเข้าตัวเมืองกรุงเทพ สองข้างทางไม่มีอะไรมากนัก ยกเว้นว่าผ่านสนามกีฬาแห่งชาติ Stat de France ที่เคยเป็นสังเวียนจัดนัดชิงบอลโลกเมื่อปี 1998 มาแล้ว
นั่งรถผ่าน Stat de France
รถบัสใช้เวลาประมาณ 45-60 นาทีก็เข้ามาถึงตัวเมือง โดยรถบัสจะจอดที่ป้ายตรง L’Opera เป็นจุดที่ต่อรถได้ทั้งรถเมล์ และรถไฟฟ้า (รถไฟฟ้าของฝรั่งเศสเรียกกันว่า Metro)
L’Opera นี่เป็นโรงละครที่มีบ่อน้ำอยู่ใต้ดิน เคยมีอุบัติเหตุโคมไฟตกลงมาทับคนตาย และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ Gaston Leroux เขียนเป็นนิยาย The Phantom of the Opera ออกมา
ด้านหน้าของ L'Opera
ฝั่งตรงข้าม L’Opera เป็นที่ตั้งของร้าน Cafe de la Paix ที่เรามักจะเข้าใจกันว่าเป็นสถานที่ประชุมของคณะราษฎร ก่อนการปฏิวัติในเดือน มิถุนายน 2475 (แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่)
ซึ่งถ้าเกิดว่าดูราคาและความหรูของร้านนี้แล้ว เข้าใจว่านักศึกษาก็คงไม่มานั่งปรึกษา วางแผนปฏิวัติกันที่นี่หรอก
ด้านหน้า Cafe de la Paix
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับปารีสอย่างแรกคือ การแบ่งเขตต่างๆ ที่จะใช้ตัวเลขเป็นตัวบอก โดยปารีสประกอบไปด้วย “เขต” ต่างๆ (arrondissement) จำนวน 20 เขต เริ่มจากเขต 1 (เขียนย่อๆ ว่า 1er) อยู่ในสุด ตามด้วยเขต 2e, 3e, 4e วนเป็นก้นหอยออกมาตามเข็มนาฬิกาเรื่อยๆ จนถึง 20e (รูปประกอบจาก wikipedia)
เวลาอ้างอิงถึงสถานที่ต่างๆ ในปารีส ถ้าบอกว่าอยู่เขตไหน จะเข้าใจได้โดยง่ายว่าอยู่ไกลมากน้อยขนาดไหน (เลขน้อยๆ แปลว่าอยู่ใจกลางเมือง เลขมากๆ แปลว่าอยู่นอกเมือง) นอกจากนี้ รหัสไปรษณีย์ของปารีสจะเป็น 750XX โดยสองตัวท้ายจะบอกว่าเป็นของเขตไหน ทำให้เราเห็นแค่ที่อยู่ก็บอกได้ทันทีว่าอยู่บริเวณไหน สะดวกมาก
ที่พักที่หาได้ อยู่ในเขต 2e ใกล้ๆ กับ Metro สถานี Bonne Nouvelle
รถไฟใต้ดิน หรือ Metro ของปารีส
บริการขนส่งมวลชนในปารีส มีอยู่ 3 อย่างหลักๆ คือ รถใต้ดิน หรือ Metro, รถบัส และรถไฟ RER ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวปกติแล้ว จะใช้แค่ Metro ก็พอ มีทางเข้าสถานีเยอะกว่าป้ายรอรถบัสเสียอีก ส่วนรถไฟ RER จะใช้เดินทางออกไปนอกเมือง เช่นไปสนามบิน หรือไปพระราชวัง Versaille
แผนที่ฉบับกระเป๋า แจกฟรี ครบ ครอบคลุม พกสะดวก ลอนดอนควรเอาเป็นตัวอย่าง
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ออกนอกเมืองบ่อย มีบัตร Carte Navigo มีอายุการใช้งาน 1 อาทิตย์ สามารถขึ้นลง Metro และรถบัสได้ไม่จำกัด ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายได้มาก เวลาใช้งานก็เอาบัตรไปแตะที่แป้นสีม่วงๆ ตรงทางเข้า Metro หรือตอนขึ้นรถบัส แบบเดียวกับ Oyster ของอังกฤษ
ตอนซื้อต้องใช้รูปติดบัตรไว้ ป้องกันไม่ให้ยืมกันใช้
สิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากเก็บข้าวของเข้าที่พักแล้วคือ ออกไปซื้อซิมใส่มือถือเอาไว้เล่นเน็ต โดยอาศัยข้อมูลจากเว็บ Pay as You Go Sim with Data Wiki (ดีมาก มีข้อมูลให้หลายประเทศ เหมาะกับคนเดินทางบ่อยๆ และขาดอินเทอร์เน็ตไม่ได้) สรุปได้ว่าซื้อของ Orange จะสะดวกสุด
ซิมเติมเงิน Orange (ภาษาฝรั่งเศสออกเสียง โอ-ค็อง) ราคา 9.9 ยูโร มีเครดิตให้ 5 ยูโร
เรื่องยุ่งยากของฝรั่งเศสคือ จะเปิดเบอร์มือถือเพื่อใช้เน็ต ต้องลงทะเบียนก่อน และต้องรอ 24 ชั่วโมง ถึงจะใช้งานได้ ผมไปจัดการที่ร้าน Orange Shop สาขา Republique พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ บริการดีมาก แนะนำขั้นตอนทุกอย่าง ทั้งวิธีเติมเงินและวิธีสมัครแพ็กเกจเล่นเน็ต
แต่ก่อนหน้าจะเดินมาถึง Orange shop เจอร้านมือถือที่ขายซิมหลายร้านมาก ส่วนใหญ่คุยไม่ค่อยรู้เรื่อง, ไม่รู้เรื่องโปรโมชั่นอินเทอร์เน็ต และขายซิมราคาแพงกว่าใน shop ทุกร้าน! มีอยู่ร้านนึงเห็นเป็นนักท่องเที่ยวมั้ง พอถามราคา บอกมาว่า 20 ยูโร! กะฟันเต็มที่ โชคดีที่หาข้อมูลมาก่อนเลยไม่หลงกล
พอจัดการเรื่องมือถือได้แล้ว ก็ได้เวลาเดินเที่ยว
ปารีสเป็นเมืองคนมือบอน เราจะเห็น Graffiti ได้ทั่วเมือง
ในตู้ Metro ก็ยังมีขีดเขียน
ที่แรกที่ไปก็คือ Place du Trocadero เป็นจัตุรัสเล็กๆ บนเนินใกล้ริมแม่น้ำ Seine บรรยากาศเหมาะกับการมาดูหอไอเฟลในยามเย็น
นักท่องเที่ยวมาดูพระอาทิตย์ตกดิน
คนเยอะยั้วเยี้ยมาก
นอกเรื่องเล็กน้อย – ปารีสเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศมาเยือนเยอะที่สุดในโลก ปี 2010 ที่ผ่านมามีถึง 15.1 ล้านคน ส่วนกรุงเทพของเราอยู่อันดับ 7 ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7.2 ล้านคน – ที่มา
สัญลักษณ์ของปารีส
เดินลงมาจากเนิน Trocadero ก็เจอม้าหมุน
พอออกจาก Trocadero เลียบแม่น้ำ Seine มาเรื่อยๆ จะเจอกับสะพาน Bir Hakeim เป็นสะพานที่หน้าตาดูคุ้นๆ
"Never recreate from your memory. Always imagine new places!"
มันคือสะพานจากในเรื่อง Inception น่ะเอง
ใครที่เคยดูหนัง Inception คงจำฉากนี้กันได้
แวะถ่ายวิวหอไอเฟลจากกลางสะพาน
ถ้าเดินเลยจากสะพาน Bir Hakeim มาอีกเกือบๆ 2 กิโล จะเจอร้านกาแฟ Cafe Debussy ที่เป็นอีกฉากหนึ่งใน Inception ด้วย แต่ด้วยระยะทางที่ไกลไปหน่อยและเริ่มมืดแล้ว ก็เปลี่ยนใจ เดินไป Metro สถานี Bir Hakeim กลับที่พักดีกว่า
Metro สถานีนี้แปลกหน่อย ตรงที่อยู่ลอยฟ้า ไม่ใช่ใต้ดิน
เป็นอันจบวันแรกในปารีส
ตอนเก่าๆ ย้อนหลัง
Leave a Reply