บันทึกการท่องเที่ยว วันที่สองในฝรั่งเศส วันนี้อากาศแจ่มใส สบายตัว อุ่นกว่าตอนอยู่อังกฤษ ไม่มีวี่แว่วฝนจะตก เหมาะมากกับโปรแกรมที่วางไว้ว่าวันนี้จะไปเที่ยวกลางแจ้ง เป้าหมายคือ พระราชวัง Versaille ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกออกนอกเมืองปารีสไป
ก่อนเดินทาง ก็จัดการอาหารเช้าแบบฝรั่งเศสมื้อแรก แบบง่ายๆ อันนี้รวมอยู่ในค่าที่พักแล้ว
อาหารเช้าสไตล์ฝรั่งเศส มีขนมปังกินกับกาแฟใส่นม
การเดินทางในปารีสชั้นใน คนทั่วไปจะใช้ Metro เป็นหลัก แต่ถ้าจะออกไปนอกเมืองหรือเขตปริมณฑลตามภาษาบ้านเรา Metro จะไปไม่ถึง ต้องนั่งรถไฟ RER ซึ่งก็คล้ายๆ กับ Metro แต่ว่ามีสองชั้น ขบวนยาวกว่า ขนคนได้ทีละเยอะกว่า และเที่ยววิ่งไม่ถี่เท่า
สำหรับการเดินทางไป Versaille นั่นไกลเกินไป บัตร Navigo ที่ซื้อไว้ไปไม่ถึง ก็ต้องนั่ง Metro ไปลงสถานี Invalides แล้วค่อยซื้อตั๋ว RER ต่อไป Versaille อีกที
ทางเชื่อม Metro กับ RER ไม่พ้นต้องเจอกับกราฟิตี้มากมาย
มารอที่ชานชาลาตอน 9:00 ส่วนป้าย Sortie แปลว่าทางออก
บน Metro / RER บางทีจะมีนักดนตรีขึ้นมาเล่นดนตรีให้ฟัง ทีแรกนึกว่าฟรี แต่จบแล้วเห็นมีเดินขอเรี่ยไรเงินบริจาค ถ้าไม่ให้ก็จะทำหน้าบูด
คนนี้เล่นเพลง soundtrack หนัง Amelie
นั่ง RER ประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะมาถึงสถานี Versaille ซึ่งต้องเดินออกไปอีกประมาณกิโลนึง ถึงจะไปถึงประตูทางเข้าวัง แถวๆ นั้นจะมี Tourist Information Office อยู่ สามารถเข้าไปขอรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้ หรือถ้าใครจะซื้อ Museum Pass ก็ซื้อได้ที่นั่นเลย
สำหรับคนที่มาปารีสแล้ว เน้นเที่ยวพวกพิพิธภัณฑ์/โบสถ์ทั้งหลาย แนะนำว่าให้ซื้อ Museum Pass ไว้ เพราะคุ้มค่า สะดวกสบาย ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋ว ใช้ได้กับสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตเกือบทั้งหมด มีแบบ 2 วัน, 4 วัน และ 6 วันให้เลือก ด้านในมีข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวที่ใช้ได้ทั้งหมด พร้อมวันเวลาทำการ
Museum Pass แบบ 6 วัน ด้านหลังจะมีช่องให้เขียนชื่อ
ด้านหน้าก่อนถึงทางเข้า ท่อนเหล็กโค้งๆ นั่นเพิ่งเอามาติดตั้ง
อันตราย กำลังก่อสร้าง
ประตูหน้าสุดของ Versaille
คำเตือนสำหรับคนที่คิดจะมาเที่ยว – รีบมาถึง Versaille ให้เช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ามาถึงได้สัก 9:00 จะดีมาก เพราะที่นี่คือสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอันดับต้นๆ ของโลก เป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ถ้ามาช้าเจอคิวยาวแน่นอน
นี่คือคิวรอตรวจกระเป๋าก่อนเข้าวัง ที่เห็นหลายๆ แถวนั่นคือมันขดไปขดมาประมาณ 5 รอบ
ถ้าใครที่มี Museum Pass อยู่แล้วก็มาต่อแถวได้เลย ถ้าไม่มีก็ต้องไปต่ออีกแถวหนึ่งเพื่อซื้อตั๋ว แนะนำให้เข้าคิวไว้ก่อน แล้วส่งคนนึงในกลุ่มออกไปซื้อตั๋ว จะได้ไม่ต้องต่อคิวสองเที่ยว ยกเว้นว่ามากับกรุ๊ปทัวร์ หรือมาทัศนศึกษากับเด็กนักเรียน จะมีทางเข้าเฉพาะซึ่งคิวสั้นกว่ามาก
ถ้าไม่อยากเที่ยวในวัง ตรงข้างๆ จะมีทางเดินทะลุออกไปที่สวนได้เลย ซึ่งในสวนนี้เข้าฟรี ยกเว้นวันที่มีการแสดงในสวน จะเก็บค่าเข้า
เดินทะลุไปทางสวนได้
ประตูชั้นใน สีทองสว่างตา
มีหนังอยู่เรื่องนึงที่แนะนำให้ไปหามาดู ก่อนจะมาเที่ยว Versaille นั่นคือ Marie Antoinette (2006) ของผู้กำกับ โซเฟีย คอปโปลา จะเข้าใจภาพคร่าวๆ ของวังนี้ได้ดีขึ้น และได้เห็นว่าในยุคที่รุ่งเรืองนั้น Versaille ที่เป็นสถานที่หรูหราอู้ฟู่ขนาดไหน
หนังสีหวานมาก นำแสดงโดย Kirsten Dunst
หลังจากผ่านตรง Security check มาได้แล้ว ก็จะเข้าสู่ Versaille ด้านใน ซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ ออกแบบทางเดินไว้ให้แบบ one way เรียบร้อยแล้ว แค่ไหลตามฝูงคนไปเรื่อยๆ
ผ่าน security check มาถึงด้านหน้าของตัวอาคารแล้ว
ด้านหน้ามีลานปูด้วยหินอ่อน เรียกว่า The Marble Courtyard
เข้ามาด้านในแล้ว อันนี้เป็นหอสวดมนต์ของกษัตริย์โดยเฉพาะ
ภาพเขียนทั้งบนผนังและเพดาน
ทางเดินในตัววัง ก็จะแบ่งเป็นห้องต่างๆ ที่สำคัญๆ ก็จะมีหมายเลขบอกสำหรับ Audio guide ให้ฟังเอารายละเอียดได้ ส่วนตัวรู้สึกว่ามันเยอะและเหมือนๆ กันไปหมดมากเกินไปสักหน่อย ทุกอย่างล้วนแต่หรูเริ่ด ความนิยมงานศิลปะในยุคนั้นคงไม่มีสำนึกของ minimalism อยู่เลยแม้แต่น้อย
ห้องกินข้าว (มั้ง)
Hall of Mirrors ห้องกระจกอันโด่งดัง (ต้องถ่ายเงยๆ ไม่งั้นติดแต่หัวคน)
ถ้าจำไม่ผิด อันนี้เป็นห้องนอนใครสักคน
ตามทางเดินบางช่วง จะมีรูปปั้นคนดัง เช่นคนนี้ คนที่เรียน Calculus คงรู้จักกันดี
"พระเจ้าตายแล้ว" – Descartes ไม่ได้กล่าวไว้
มีส่วนที่เป็น Gallery ภาพเขียน น่าจะสร้างขึ้นมายุคหลังๆ แล้ว
เดินจนหมดแล้วออกมาจะมีห้องน้ำให้เข้า มีร้านขายขนมชื่อดัง Laduree
พอหมดส่วนที่เป็นวังแล้ว ทางเดินจะทะลุออกมาด้านหลังที่เป็นสวนกว้างสุดลูกหูลูกตา ขนาดก็ลองดูจากแผนที่ได้ ตรงที่ปักหมุดคือส่วนวังที่เพิ่งเดินไป ส่วนเขียวๆ คือสวน
มัน ใหญ่ มาก
มองไม่เห็นท้ายสวนเลยด้วยซ้ำ ลองจินตนาการว่าสมัยก่อน ต้องใช้คนสวนจำนวนเท่าไหร่ในการดูแล
ด้านในสวน จะมีน้ำพุกระจายอยู่ ความสวยงามก็แตกต่างกันไป ถ้าเป็นคนชอบแต่งสวน ปลูกต้นไม้ คงจะเดินได้เพลิดเพลิน
ในสวนมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ซ่อนๆ อยู่ตามหลืบไม้ ไม่ทำลายความสวยงามของสวน ในแผนที่แจกมีตำแหน่งบอกหมดว่าร้านไหนอยู่ตรงไหน ราคาก็จะแพงกว่าร้านข้างนอกเล็กน้อย
พิซซ่า หน้าซาลามี่ เห็ด มะกอกดำ
อันนี้จำชื่อไม่ได้ เป็นไก่อบ (มั้ง) กินกันตาย
น้ำพุอะไรสักอย่าง จำชื่อไม่ได้
น้ำพุอันนี้อยู่กลางสวนเลย
มีกองถ่ายมาถ่ายแบบโฆษณา (หรือมิวสิควิดีโอก็ไม่รู้)
เนื่องจากในสวนมีขนาดใหญ่มาก ก็จะมีบริการสำหรับคนเหนื่อยง่าย เช่นรถนำเที่ยว หน้าตาเหมือนๆ รถเที่ยวเขาดินบ้านเรา แน่นอนว่าคิดเงิน และแพงด้วย ถ้าคนที่ไม่อยากจ่ายแพงนัก ก็มีจักรยานให้เช่า แต่ข้อกำหนดค่อนข้างจุกจิก ราคาก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่ด้วย สุดท้ายก็เลยพึ่งพาสองขาตัวเองต่อไป
คุณลุงจูงจักรยาน
ด้านในสวน ยังมีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกคือ Grand Trianon ที่เป็นเรือนพักผ่อนของกษัตริย์ ในเวลาที่ไม่อยากเข้าไปวุ่นวายกับงานราชการในวัง และ Petit Trianon เป็นเรือนขนาดเล็กกว่า Marie Antoinette เคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน
สองที่นี้ต้องจ่ายค่าผ่านประตูด้วย แยกจากวัง Versaille ด้านหน้า แต่ถ้ามี Museum Pass ก็เข้าได้เลย
ด้านในจะไม่หรูหรามากเท่าในตัววังหลัก ลักษณะเป็นที่พักผ่อนชิลๆ
กิจกรรมยามว่างของกษัตริย์ฝรั่งเศสและสหาย
ภาพเขียน Marie Antoinette
ประตูรั้วดูธรรมดาหน่อย
นอกจาก Grand Trianon และ Petit Trianon แล้วยังมีฟาร์มของ Marie Antoinette ที่เค้าจำลองบรรยากาศ ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ให้ดูด้วย (เป็นช่วงที่ Marie Antoinette เบื่อราชสำนัก เลยเกิดอารมณ์แนว “ฉันอยากเป็นชาวนา” ขึ้นมา)
ขึ้นชื่อว่าฟาร์มของ Marie Antoinette ต้องไม่ใช่ฟาร์มกระจอกๆ
ปลูกองุ่น เอาไว้ทำไวน์โครงการหลวง
โรงนาหรูหรา
สัตว์เลี้ยงเท่าที่เห็นก็มี แกะ แพะ วัว ไก่ กระต่าย
เดินหามานาน เพิ่งเจอ กุหลาบแวร์ซายล์
Temple de l'Amour อันนี้คล้ายๆ เป็นศาลาริมน้ำ
ชื่อสถานที่แปลว่า วิหารแห่งความรัก ก็เลยมีรูปปั้นคิวปิดอยู่ด้วย
เดินย้อนกลับมาถึงน้ำพุแถวติดกับราชสำนักเอาช่วงจะค่ำแล้ว คนกลับกันหมด
ถึงประตูหน้า ฟ้าใกล้มืด น่าจะสักทุ่มนึงได้แล้ว
ออกมาได้ตอน พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว
สรุปว่า Versaille มันก็คือวังธรรมดาๆ นี่แหละ แต่ความพิเศษของมันคือความใหญ่โต ความล้น ความเว่อร์ ของการตกแต่งแบบไม่ยั้ง เห็นแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประชาชนฝรั่งเศสในสมัยนั้นถึงรู้สึกว่าถูกราชสำนักกดขี่และลุกฮือขึ้นมาประท้วง
โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้นิยมสถาปัตยกรรมแบบพวกวังเก่าสักเท่าไหร่ ไม่รู้สึกว่ามันสวย ความสนุกสนานที่ได้จากการมาเที่ยวคือได้เห็นประวัติศาสตร์ที่อยู่ในสถานที่มากกว่า (และการเดินชมสวน+ฟาร์มก็เพลิดเพลินดีไม่น้อย)
รวมๆ แล้วเป็นวันที่เดินเยอะมากๆ (เพราะงก ไม่อยากจ่ายค่ารถ) ทั้งหมดราวๆ 10 กิโล น่าจะได้ เสบียงเป็นเรื่องสำคัญมาก การมีช็อกโกแลตติดกระเป๋าไว้ มีขวดน้ำสำหรับกรอกเอาไว้กินตลอดการเดิน ช่วยได้มาก
พอออกจาก Versaille มาแล้วก็นั่ง RER กลับ แบบเดียวกับขามา
มื้อเย็นวันนี้ลองไปกินอาหารฝรั่งเศสที่ร้าน Chartier เห็นว่าเป็นร้านเก่าแก่ เปิดมานาน และเป็นอาหารฝรั่งเศสในราคาที่พอจะรับได้
เมนูบ้านๆ หน่อย ไม่มีภาพประกอบ เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส
Entree จานแรก เห็ดอะไรก็ไม่รู้
Entree จานที่สอง เป็น Escargot (หอยทาก) มีที่คีบพร้อมส้อมสำหรับแคะหอยออกจากเปลือก
จานหลัก เป็นสเต็กแกะ ออกมาแห้งๆ ไปหน่อย
จานหลักอีกจาน เป็ดอะไรสักอย่าง ที่เป็นลูกๆ นั่นคล้ายๆ มันฝรั่ง ไม่ใช่ไส้กรอกอีสาน
บรรยากาศภายในร้าน ราวข้างบนโต๊ะ เอาไว้วางกระเป๋าได้ อย่างกับนั่งรถ บขส.
รวมๆ แล้วผิดหวังเล็กน้อย เห็นว่าเป็นร้านดัง แต่อาหารไม่อร่อยในระดับที่หวังไว้ คืออร่อยเฉยๆ แต่ไม่ถึงระดับประทับใจ (แต่ไวน์อร่อยดี) และบรรยากาศในร้านก็ค่อนข้างวุ่นวาย คนเยอะ ที่นั่งเบียด บริการไม่ค่อยทั่วถึง แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า ร้านสไตล์นี้ที่อื่นในปารีสก็จะแพงกว่านี้เยอะ
กลับถึงที่พัก หมดแรง เป็นอันจบวันที่สองในปารีสเพียงเท่านี้
ลิงก์ตอนเก่าๆ
Leave a Reply