เข้าสู่วันที่ 4 ที่ปารีสแล้ว เก็บสถานที่สำคัญๆ ไปหลายที่แล้ว วันนี้ก็จะมาเที่ยวตามสถานที่ที่ดังรองๆ ลงมาหน่อย ต้องตื่นออกจากที่พักแต่เช้าเหมือนเดิม
พาหนะแบบหนึ่งของปารีเซียง
Graffiti มีให้เห็นทั่วไปแม้กระทั่งแถวกลางเมือง
โปรแกรมแรกของวันนี้คือไป Conciergerie ซึ่งเป็นคุกที่ใช้ขังนักโทษการเมืองในช่วงสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ตั้งของ Conciergerie อยู่บนเกาะ Cite ใจกลางเมืองปารีส
ต้องอธิบายเรื่องลักษณะทางภูมิศาสตร์ของปารีสเล็กน้อย คือปารีสจะมีแม่น้ำ Seine ไหลผ่ากลาง จากฝั่งตะวันตก ไปฝั่งตะวันออก และตรงกลางจะมีเกาะเล็กๆ อยู่ในแม่น้ำ 2 เกาะ คือเกาะ Saint Louis และเกาะ Cite ที่กำลังจะไปนี่เอง (ถ้าอ่านแล้วงงลองดูแผนที่)
สะพานข้ามไปยังเกาะกลางน้ำ มีโฆษณา iPad 2
ถ้าจำไม่ผิด อันนี้คือ Hall of Justice
ทีแรกตั้งใจว่าจะมาดูทั้ง Conciergerie กับโบสถ์ Sainte-Chapelle ที่อยู่แถวนั้นด้วย แต่ดูปริมาณคนที่ต่อคิวเข้าแถวรอเข้าโบสถ์ Saint-Chapelle แล้ว มาดู Conciergerie น่าจะเป็นการใช้เวลาที่มีอย่างคุ้มค่ากว่า ไม่งั้นโปรแกรมที่วางไว้ทั้งวันคงจะเละไปหมด
ข้างใน Conciergerie ชั้นล่าง
ข้างใน Conciergerie ก็จะมีจัดแสดง จำลองสภาพของคุกสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส เอาหุ่นมาตั้งเป็นเวรยาม เป็นนักโทษนอนอยู่ในคุก มีทั้งนักโทษธรรมดา แล้วก็นักโทษ high profile ที่เป็นบุคคลสำคัญ แต่นักโทษที่มีความเป็นอยู่ดีที่สุดในนี้ก็คือ Marie Antoinette
ในช่วงบั้นปลายชีวิต Marie Antoinette เคยถูกขังอยู่ที่นี่ ก่อนจะถูกนำตัวไปประหารด้วยกิโยตินที่ลานประหารกลางปารีส
จำลองห้องของ Marie Antoinette ขนาดประมาณคอนโด 1 ห้องนอนสมัยนี้
รวมๆ แล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ คุณภาพของส่วนจัดแสดงถือว่าห่วยผิดคาด หุ่นที่เอามาจัดแสดงก็ดูดีกว่าจ่าเฉยบ้านเราแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง ค่าเข้าดู 7 ยูโร ถ้าเกิดว่าไม่ได้ใช้ Museum Pass เข้ามาคงรู้สึกเสียดายเงินเหมือนกัน นี่คงเป็นสาเหตุว่าทำไมใครๆ ก็ไปต่อคิวเข้า Sainte-Chapelle กันหมด แล้วไม่มาดู Conciergerie
ตรงทางออกมีขายหนังสือ กินตังค์นักท่องเที่ยวอีกต่อนึง
เป้าหมายถัดไปคือ วิหาร Notre Dame ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Cite เหมือนกัน เดินไปนิดเดียวก็ถึง
เดินผ่านทางเข้า Metro สถานี Cite ออกแบบเป็นสไตล์ Art Nouveau ฝีมือการออกแบบของสถาปนิก Hector Guimard
แก๊งค์เด็กปั่นจักรยาน
มาถึง Notre Dame แล้ว
Notre Dame เป็นวิหารที่สร้างตามศิลปะแบบ gothic เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในแง่ของความใหญ่โตและกระจกสีที่สวยงาม ด้านหน้าของวิหารจะมีหมุดบอกหลักกิโลเมตรที่ศูนย์อยู่ด้วย
หลักกิโลเมตรที่ศูนย์
ลองเข้าไปข้างใน ก็ลักษณะเหมือนวิหารทั่วไป มีทางเดินให้กับนักท่องเที่ยวเดินดูรอบๆ โดยไม่เข้าไปรบกวนคนที่มาโบสถ์ตามปกติ
แสงไฟสลัวๆ จากเทียน
เทียนใส่ถ้วย มีไว้ขายนักท่องเที่ยว
ด้านในก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่ ใช้ Museum Pass ผ่านประตูเข้าไปได้ไม่มีปัญหา ยกเว้นตัวอาคารที่แยกออกมาบางส่วนที่ต้องเสียเงินเพิ่ม (ซึ่งก็ไม่ได้เข้าไปดู) มีบันไดให้ขึ้นไปดาดฟ้าของหอคอยเพื่อไปดูวิวสวยๆ ได้ ซึ่งก็ไม่ได้ขึ้นไปอีก เพราะกลัวเหนื่อย เดี๋ยวจะเดินที่อื่นต่อไม่ไหว ก็เลยกลับออกมาถ่ายรูปข้างนอก
รูปปั้นด้านนอก
รูปปั้น Gargoyle บนดาดฟ้า
พอดีว่าไม่เคยดู The Hunchback of Notre Dame ก็เลยไม่อินเท่าไหร่
ร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว มีอยู่รอบๆ
สวนด้านหลัง Notre Dame
ออกจาก Notre Dame มาแล้ว ก็เดินต่อไปทางเกาะ Saint Louis สำรวจบ้านช่องร้านรวงทั่วไป เกาะ Saint Louis จะมีขนาดเล็กกว่าเกาะ Cite และไม่มีสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ก็สามารถเดินได้สบายๆ
ร้านขายชีสสสสสสสสส
ร้านขายไวน์ เป็น chain ชื่อว่า Nicolas มีให้เลือกเยอะดี
จากเกาะ Saint Louis ข้ามสะพานกลับสู่อีกฟากแม่น้ำ แล้วเดินต่อมาเรื่อยๆ ก็จะมาเจอกับ Place de la Bastille ที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของคุก Bastille อันโด่งดังมาก่อน
Place de la Bastille
คุก Bastille โดนทำลายจนไม่เหลืออะไรแล้ว ปัจจุบันก็เลยกลายเป็นแค่วงเวียนอย่างในรูป มีโรงโอเปร่า Bastille มาสร้างไว้ เนื่องในโอกาสครบรอบ 200 ปี การทลายคุก Bastille
เดินกลับเข้ามาในเมืองอีกหน่อยจะเจอกับ Place des Vosges เป็นจัตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดของปารีส และยังเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ Covent Garden ที่ลอนดอนอีกด้วย
ร่มรื่นดี แต่ฝุ่นเยอะไปหน่อย
แถวนี้มีอดีตบ้านของ Victor Hugo นักเขียนชื่อดังด้วย
แฟน Magritte เห็นแล้วอดถ่ายไม่ได้
เดินต่อไปอีกก็เจอ Archives Nationales ก็ประมาณหอจดหมายเหตุแห่งชาติของบ้านเรา ช่วงที่ไปเหมือนจะมีประท้วงเรื่องอะไรสักอย่างกันอยู่
ด้านหน้า Archives Nationales
ได้ยินมาว่าแถวย่านนี้ Falafel อร่อย ก็เลยจิ้มๆ ดู Google Maps เลือกร้านที่ได้ดาวเยอะๆ มาร้านนึง เป็นมื้อเที่ยงวันนี้
ชื่อร้าน L'As du Fallafel
ชื่อร้านแปลว่า "The Ace"
ด้วยความที่ตัวเองก็ไม่รู้จักว่า falafel มันหน้าตาแบบไหน กินยังไง เข้าไปก็จะงงๆ หน่อย สรุปได้ว่า falafel ร้านนี้เป็นแบบ falafel sandwich คือมีไส้กับแป้งมาให้ จากนั้นคนกินก็จัดการเองตามสะดวก
แป้งกับน้ำจิ้ม เผ็ดใช้ได้
อันนี้เป็นไส้ สั่งเป็นเนื้อวัวกับเนื้อแกะ รวมๆ กัน
อันนี้จานแยก เป็นไส้กรอกอะไรสักอย่าง รสชาติคล้ายๆ Chorizo
วิธีกินก็ยัดไส้ใส่ในแป้ง ราดน้ำจิ้มตามชอบ แล้วก็กิน
สำหรับมื้อนี้รีวิวใน Google Maps เชื่อถือได้ ร้านบ้านๆ หน่อย คนเยอะไปนิด แต่อร่อยดี และราคาไม่แพง
กินเสร็จแล้วก็เดินต่อไปที่ Centre Georges Pompidou ที่เป็นอาคารศูนย์วัฒนธรรม ภายในจะมีจัดนิทรรศการศิลปะผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนไปเรื่อยๆ (ไม่ได้เข้าไปดู เพราะไม่มีเวลา)
ด้านหลังของ Centre Georges Pompidou
สไตล์ที่โดดเด่นของ Centre Georges Pompidou คือการออกแบบแนว Post-Modern โดยจับเอาสิ่งที่ควรจะอยู่ในตัวตึกออกมาอยู่ด้านนอก ทั้งโครงเหล็ก ท่อแอร์ ท่อสายไฟ บันได ทำให้ได้อาคารหน้าตาประหลาดเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมา
ด้านหน้าอาคาร
เหมือนจะเป็นคณะนักเรียนมาทัศนศึกษา
ข้างๆ มีบ่อน้ำพุชื่อว่า Stravinsky Fountain ตั้งชื่อตาม composer เพลง Igor Stravinsky
น้ำพุไม่มีน้ำ
เดินเที่ยวย่านนี้เยอะแล้ว ก็ไปต่อที่ไฮไลท์ของวันนี้ คือ Musée d’Orsay ซึ่งก็ต้องขึ้น Metro ไป
เปลี่ยนขบวน Metro ที่สถานี Concorde เพดานทำสวยดี
มาถึงพิพิธภัณฑ์ d’Orsay ซึ่งเป็นอีกพิพธภัณฑ์หนึ่งที่ไม่ควรพลาด รองจาก Louvre โดยงานศิลปะที่จัดแสดงอยู่ใน d’Orsay จะเป็นงานยุคหลัง ราวๆ ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา
งานศิลปะเชิดหน้าชูชาตาของ d’Orsay คือเป็นแหล่งรวมภาพเขียนแนว Impressionist / Post-Impressionist (และแนวใกล้เคียง) ไว้เยอะมาก ของคนดังๆ มีครบทั้ง Manet, Monet, Degar, Renoir, Pissaro, Van Gogh ฯลฯ นอกจากนี้แล้วก็มีงานแบบ Art Nouveau ให้ดูด้วย
ตัวอาคารเป็นสถานีรถไฟเก่าที่เอามาดัดแปลง การเดินทางภายในแบ่งเป็นสัดส่วนไว้อย่างดี เดินแล้วไม่หลงทางอย่างใน Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดกำลังดี ใช้เวลาเดินสักครึ่งวันก็ทั่ว ข้อเสียคือ ห้ามถ่ายรูปข้างใน ก็เลยเอารูปมาแปะไม่ได้
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ มีป้ายโฆษณาว่าช่วงนี้มีนิทรรศการของ Manet อยู่
จังหวะที่ไปนั่นเป็นช่วงบ่ายแล้ว คนรอคิวเข้าก็เยอะพอสมควร ไม่มีทางลัดสำหรับคนถือ Museum Pass ด้วย ทำให้เสียเวลาไปเยอะ ตอนเดินดูผลงานก็เลยต้องรีบๆ ดูไปหน่อย รู้สึกไม่ค่อยเต็มอิ่มเท่าไหร่ แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบที่นี่มากกว่า Louvre เสียอีก
d'Orsay ในช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตก
นาฬิกาอันใหญ่ สัญลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์
เดินอยู่จนพิพิธภัณฑ์ปิด (สามทุ่มครึ่ง ฟ้ายังสว่างอยู่เลย) ออกมาถ่ายรูปรอบๆ เล็กน้อย แล้วก็นั่ง Metro กลับที่พัก ก็เป็นอันจบไปอีกหนึ่งวัน
ลิงก์ตอนเก่าๆ
Leave a Reply