ผมรู้จักชื่อตลาดปลา Tsukiji ครั้งแรกจากการ์ตูน ไอ้หนุ่มซูชิ (สำนักพิมพ์บูรพัฒน์ ออกมา 60 กว่าเล่มแล้ว ยังไม่จบ) เป็นการ์ตูนที่วาดตัวละครได้ไม่หล่อไม่สวยเลย พล็อตเรื่องก็ cliche มากๆ แต่จุดเด่นของเรื่องนี้คือภาพวาดซูชิที่ดูน่ากินมาก + ข้อมูลวัตถุดิบซูชิระดับละเอียดยิบ ทำให้ตั้งใจว่า มาญี่ปุ่นแล้วก็จะขอไปดูตลาดปลา Tsukiji ให้ได้สักครั้งว่าเป็นยังไง
ภาพปกเอามาจากเว็บ ToonZone
ตลาดปลา Tsukiji เป็นตลาดขายปลาและอาหารทะเลขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ภายในแบ่งเป็นโซนตลาดปลากับโซนขายของ+ร้านอาหาร โดยโซนตลาดปลาจะให้คนทั่วไปเข้าไปได้หลัง 9 โมงเช้าเท่านั้น ส่วนโซนขายของคนทั่วไปมาเดินได้ตั้งแต่ตลาดเปิด
ตรงโซนนี้มีร้านซูชิเปิดอยู่หลายร้าน แต่ร้านที่ดังที่สุดคือร้าน ซูชิได (寿司大) ที่ต้องต่อคิวรอกินกันนานมาก ผมพยายามตื่นเช้านั่งรถไฟใต้ดินมา ไปต่อคิวเอาราวๆ 6 โมงครึ่ง ก็เจอคนมาก่อนหน้าเป็นสิบแล้ว (บังเอิญเจอแอดมิน B แห่งเว็บ 48.in.th ต่อคิวอยู่ด้วย) กว่าจะได้กินก็รอไปราวๆ 3 ชม. ถ้าใครจะมากินแบบไม่เสียเวลา แนะนำให้หาที่พักใกล้ๆ ตลาด Tsukiji นี่หรือไม่ก็นั่งแท็กซี่เอา (ร้านเปิดตีสี่ครึ่ง)
ระหว่างรอก็ถ่ายรูปไปเรื่อย
คนขับรถส่งของวิ่งกันขวักไขว่
ทางร้านเค้าจะจัดให้ลูกค้าเข้าไปเป็นชุด ชุดละ 12-13 คน ก่อนเข้าไปก็จะมีเซตเมนูให้ดูก่อน เลือกได้คือเซตใหญ่ 10+1 คำ 3,900 เยน กับเซตเล็ก 7 คำ 2,500 เยน เชฟจะปั้นมาให้ทีละคำๆ จนจบเซตแล้วถึงจะสามารถสั่งเพิ่มได้ เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ก็สั่งเซตใหญ่กัน
ภายในร้านแคบมากๆ มีที่พอให้นั่งกินเท่านั้น ไม่ควรแบกข้าวของพะรุงพะรังอะไรเข้าไป จากในรูป ด้านหลังคนที่นั่งกันอยู่มีที่เหลือแค่ให้คนเดินได้คนเดียวเท่านั้น
พอเข้าไปนั่งแล้วทางร้านก็มีชา มีซุปให้ เชฟก็จะปั้นซูชิวางบนเคาท์เตอร์ไม้ด้านหน้ามาให้ทีละคำๆ ถ้าขิงดองหมดก็เติมให้ด้วย
หอยเม่นหลุดโฟกัส
อันนี้โทโร่
เซตใหญ่ 10+1 คำก็คือ เชฟเลือกให้ 10 คำ จบแล้วให้เราเลือกได้เองอีก 1 คำ ผมตัดสินใจไม่ถูก สุดท้ายก็เลือกโทโร่ไป เบ็ดเสร็จแล้วใช้เวลากินราวๆ 40 นาที ก็ออกจากร้านมาแล้วให้ลูกค้าชุดต่อไปเข้ามากิน
ถ้าไม่นับว่าต้องต่อคิวนานมากๆ แล้ว ถือว่าเป็นซูชิที่อร่อยและคุ้มราคามาก ราคานี้ในบ้านเราหาแบบที่ได้ปลาแบบนี้ยังยากเลย แต่ถ้าไม่อยากต่อคิว บางคนเค้าว่าไปร้าน Sushi Daiwa ใกล้ๆ กันเป็นของครอบครัวเดียวกัน อร่อยเหมือนกัน แต่คิวสั้นกว่ามาก
กินซูชิเสร็จ ตลาดปลาก็เปิดให้คนภายนอกเข้าได้แล้ว
ด้านในตลาด
เครื่องแล่ปลาแช่แข็ง
ปลาหลากชนิด
ตอนที่เข้าไปดูราวๆ เกือบ 11 โมง หลายๆ ร้านก็เริ่มจะปิดกันแล้ว ก็เลยไม่ได้เห็นอะไรอาหารทะเลหน้าตาแปลกๆ มากซักเท่าไหร่
นอกจากนี้แล้วที่ตลาดปลา Tsukiji นี่ยังมีให้ดูการประมูลปลาทูน่าฟรีด้วย แต่ต้องมารับคิวตั้งแต่เช้ามืด (ราวๆ ตีสามเป็นต้นไป) ไม่แน่ใจว่าจะยังเปิดให้ดูจนถึงเมื่อไหร่ เพราะตลาดปลาที่นี่มีแผนจะย้ายไปตั้งที่อื่นแทนในไม่กี่ปีนี้ ถ้ามีโอกาสและเวลา ก็น่าลองแวะไปดูครับ
ออกจากตลาดปลา ก็แวะกลับไปที่สวน Ueno ที่ไปมาเมื่อวันก่อนเพื่อไปเก็บตก museum สองที่ คือ National Museum of Western Art กับ Science Museum ทั้งสองที่อยู่ติดกันเลย
เริ่มต้นที่ NMWA ก็เป็น museum ขนาดกะทัดรัด เดินไม่เกิน 2 ชม.ก็ทั่ว มีทั้งงานภาพเขียนและรูปปั้นของศิลปินตะวันตก ตั้งแต่ยุค Renaissance มาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผมสนใจงานพวก Impressionist ก็มีให้ดูพอสมควร
ด้านใน
ในสวนมี The Thinker ของ Rodin ด้วย แต่ตัวนี้ไปดูที่ปารีสจะขลังกว่านะ
ออกจาก NMWA ก็เข้า Science Museum ที่อยู่ข้างๆ ได้ทันที
ที่ Science Museum นี่ก็เหมือนพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทั่วไปคือ เด็กเยอะมาก แล้วก็ของที่จัดแสดงก็จะออกไปในทางส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กมากกว่า แต่ในฐานะที่เคยเป็นเด็กที่อยู่ในประเทศที่ไม่มี Science Museum ดีๆ ให้ดู การได้มา museum แบบนี้ทีไรก็ตื่นตาตื่นใจทุกครั้ง
กองทัพสัตว์จำลอง
อันนี้ให้ดูระบบทางเดินอาหารของวัว
โครงกระดูกไดโนเสาร์ก็มี
ไฮไลท์ของที่นี่ที่ไม่ควรพลาดคือ 360 Theater ที่ให้เราเข้าไปในห้องทรงกลม มีสะพานพาดจากฟากนึงไปอีกฟากนึง รอบๆ เป็นจอภาพฉายหนังสารคดีแบบ 360 องศา มุมมองเหมือนกับได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ มีทั้งลอยอยู่บนฟ้า ดำลงไปใต้น้ำ ทำดีมาก ถึงแแม้เสียงบรรยายจะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ดูวิดีโออย่างเดียวก็เข้าใจได้
นอกจากโซนชีวิตสัตว์โลกแล้วก็ยังมีวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ เช่นพวกโซนเครื่องจักร แร่ธาตุ พลังงาน ฯลฯ แต่ป้ายส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่น ถ้าอ่านไม่ออกแล้วก็ลำบากหน่อย แต่ในภาพรวมแล้วถือเป็น museum ที่ทำได้ดีเลย
วันนี้ตอนเย็นมีนัดเจอมิตรสหายท่านหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงเวลานัดก็เลยไปเดินเล่นแถวสถานี Nippori เดินไล่ลงมาจนถึงสถานี Nezu
แถบ Nippori-Nezu ส่วนใหญ่ก็เป็นบ้านคนธรรมดา บรรยากาศค่อนข้างสงบ ไม่พลุกพล่าน มีบ้านไม้เก่าๆ สวยๆ ให้อารมณ์ย้อนยุคเล็กน้อย
อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นอะไร
ร้านเปิดท้ายขายของแบบนี้ก็มี
เดินจนเหนื่อยก็แวะร้านกาแฟเก๋ๆ แถวนั้น ชื่อ Kayaba Coffee ถ้าขึ้นไปนั่งชั้นสองจะเป็นโต๊ะญี่ปุ่น + เสื่อทาทามิ มองออกไปนอกหน้าต่างชมวิวสวยๆ ได้
ลาเต้ร้อน + เค้กชาเขียวรสละมุน ไม่หวานจนเลี่ยน
พอถึงเวลานัดก็ไปเจอมิตรสหายท่านหนึ่งแถว Asakusa แต่พอดีมิตรสหาย OL ของมิตรสหายท่านนั้นชวนกินข้าวเย็น ก็เลยไปเจอกันแถวๆ Shinbashi แทน
ร้านที่ไปกินเป็นร้านแนว Izakaya คือพวกคนทำงานมากินกันหลังเลิกงาน เน้นกินกับ/ของเสียบไม้ย่าง + เบียร์/สาเก วิธีไปค่อนข้างลำบาก ต้องเข้าไปในตึกที่จำชื่อไม่ได้ แล้วกดลิฟต์ขึ้นไป เปิดออกมาแล้วเป็นร้าน Izakaya อลังการ แบ่งเป็นห้องส่วนตัวนั่งได้ประมาณห้องละ 5-6 คน ซาลารี่แมน+OL เต็มไปหมด
ถั่วเอาไว้กินเล่น
ของเสียบไม้ย่าง
โอโคโนมิยากิหน้าอะไรสักอย่าง
ฮัมบากุ
ซุปอะไรไม่แน่ใจ
มื้อนี้มิตรสหาย OL เลี้ยงด้วย เป็นมื้อที่อิ่มเอมมาก
Leave a Reply