เข้าสู่วันที่ 6 ของการอยู่ในปารีส วันนี้มีที่ต้องไปหลายจุด ก็เลยต้องรีบตื่นแต่เช้า ที่หมายแรกเริ่มต้นที่สถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดเช้าที่สุดในทั้งหมด นั่นคือ สุสาน Père Lachaise ในเขต 20
อาจจะฟังดูแปลกๆ ที่มาเที่ยวสุสาน แต่ว่าสุสานอันนี้ไม่เหมือนป่าช้าบ้านเรา บรรยากาศไม่น่ากลัวแบบนั้น จะออกแนวสงบๆ มากกว่า
จุดที่ทำให้สุสาน Père Lachaise นี้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้คือ ที่นี่นอกจะเป็นสุสานธรรมดาแล้วเป็นที่ฝังศพบุคคลสำคัญทั้งคนฝรั่งเศสและคนชาติอื่นไว้หลายคน หลุมศพของคนดังๆ ก็มักจะหน้าตาสวยๆ ทั้งนั้นเลยด้วย
บรรยากาศภายในสุสาน
สุสานนี่ก็ไม่ใช่เล็กๆ พื้นที่ทั้งหมดประมาณ 278 ไร่ จะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็ราวๆ 3/4 ของสวนลุมบ้านเรา เส้นทางเดินภายในมีตัวเลขบอกตรอกซอกซอยทั้งหมด แต่ก็ควรมีแผนที่ติดมือไว้ ไม่อย่างนั้นหลงทางแน่นอน
ถ้าไม่คิดจะเดินชิลๆ อยากจะมาดูแค่บางหลุมศพ แนะนำให้หาข้อมูลมาก่อนว่าจะดูของใครบ้าง แล้วดูป้ายที่อยู่ด้านหน้าทางเข้า จะมีชื่อคนดังๆ พร้อมหมายเลขบอกตำแหน่งให้ว่าใครอยู่ตรงไหน จดหมายเลขตำแหน่งไว้ให้เรียบร้อย หาเส้นทางที่สั้นที่สุดที่จะต้องเดิน แล้วค่อยเข้าไป เพราะต้องเดินค่อนข้างเยอะ และภายในก็ไม่ค่อยมีจุดให้นั่งพักเหนื่อยดีๆ สักเท่าไหร่ ร้านค้าขายของก็ไม่มี ควรเตรียมเสบียงและน้ำใส่ขวดติดไปด้วย
จิตรกร Eugene Delacroix ผลงานดังๆ ก็ภาพ Liberty Leading People ที่ Coldplay เอาไปเป็นปกอัลบั้ม
Theodor Gericault จิตรกรชื่อดังอีกคน มีภาพ The Raft of the Medusa อยู่ที่หลุมศพด้วย
นอกจาก Delacroix กับ Gericault แล้วยังมีศิลปินคนดังอีกหลายคน (เห็นชื่อผ่านตาจากที่ Louvre, d’Orsay ก็เยอะ) เช่น Ingres, Jacques Louis David, Camille Pissarro, Georges Seurat
หลุมศพที่ดูจะชื่อดังที่สุดในนี้คือหลุมศพของ Jim Morrison นักร้องนำของวง The Doors มีคนเอาดอกไม้มาคารวะหลุมศพอยู่เรื่อยๆ
หลุมศพ Jim Morrison ธรรมดากว่าที่คิด
ถ้าจะให้ได้อารมณ์ ควรเปิดเพลง I’m Jim Morrison, I’m Dead ของ Mogwai ไปด้วย
Mireille Albrecht ใครก็ไม่รู้ แต่หลุมศพเก๋ดี
นอกจากหลุมศพแบบเป็นคนๆ ไปแล้วก็มีที่สร้างสำหรับระลึกถึงเหตุการณ์ด้วย
อันนี้ของเหยื่อค่ายกักกันที่ Sachsenhausen
The Communard's Wall เป็นจุดที่ฝ่ายซ้ายฝรั่งเศส 147 คนโดนยิงตายและทิ้งศพไว้
อีกหลุมหนึ่งที่ดังไม่แพ้ Jim Morrison ก็คือหลุมศพของ Oscar Wilde นักเขียนคนดัง (ซื้อ Dorian Gray มาดองไว้นานมากแล้วยังไม่ได้อ่านสักที) เป็นหลุมศพที่อยู่ในหนัง Paris Je t’aime ตอนที่ Wes Craven กำกับด้วย
รอยลิปสติกมากมาย
มีแต่คนมาเขียนไว้เต็มไปหมดจนแทบไม่เห็นชื่อ Oscar Wilde
สังเกตว่าหลังจากหนัง Paris Je T’aime ออกฉายในปี 2006 รอยลิปสติกก็เพิ่มขึ้นมาก ลองดูเทียบกับในคลิปด้านล่างนี่ก็ได้
นอกจากนี้ก็ยังมีคนดังอื่นๆ อีกหลายคนอย่าง Édith Piaf (นักร้องอมตะตลอดกาลของฝรั่งเศส) หรือ Marcel Proust (คนเขียน In Search of Lost Time) ก็อยู่ที่นี่
ที่จริงแล้วปารีสยังมีสุสานอีกแห่งหนึ่งที่มีคนดังเยอะเหมือนกันคือสุสาน Montparnasse อยู่แถวๆสวน Luxembourg ที่ไปเมื่อวันก่อน มีหลุมศพของคนดังเยอะเหมือนกัน เช่น Jean Paul Sartre (นักปรัชญา), Simone de Beauvoir (นักปรัชญา), Phillipe Leotard (นักปรัชญา), Eric Rohmer (ผู้กำกับหนัง) แต่ด้วยเวลาจำกัด (เหตุผลเดิมๆ) ก็เลยไม่ได้ไป
จบจาก Père Lachaise แล้วก็ไปที่เป้าหมายถัดไปคือ La Cinémathèque
ระหว่างทางเจอร้านอาหารไทย แต่ก็ไม่รู้จะมากินอาหารไทยถึงปารีสทำไม
แถวๆ La Cinémathèque เจอร้านจีนถูกๆ ก็แวะเข้าไปกินมื้อเที่ยงรองท้อง
ซุปอะไรสักอย่าง มีลูกชิ้น กินกับข้าว
อันนี้น่าจะเป็นเนื้อทอดกระเทียม
กินอิ่มแล้วก็เดินต่อมาถึง Cinémathèque จนได้
La Cinémathèque นี่ก็จะประมาณหอภาพยนตร์แห่งชาติ มีเก็บ film archive, มีที่ให้ทำ workshop, มีฉายหนัง แล้วก็พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับหนัง
ด้านหน้า La Cinémathèque
ส่วนจัดแสดงที่เป็นประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ใช้ Museum Pass ผ่านได้ฟรี (ใช้ให้คุ้ม) ก็จะมีแสดงประวัติศาสตร์ ที่มาที่ไป พัฒนาการเรื่องภาพเคลื่อนไหว ตั้งแต่สมัยก่อน มีอุปกรณ์สมัยเก่าๆ ให้ลองเล่น รวมถึงเทคนิคการถ่ายทำ, Costume, และตัวอย่างจากหนังฝรั่งเศสเก่าๆ ด้วย
จาก Metropolis
ขนาดของส่วนที่จัดแสดงไม่ใหญ่มาก ประมาณ TCDC บ้านเรา เดินประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ทั่ว (มี Audio guide บริการด้วย) ทีแรกกะว่าจะดูนิทรรศการเวียน ซึ่งจังหวะที่ไปเป็นนิทรรศการ Stanley Kubrick พอดี แต่เนื่องจากว่า late จากแผนเดิมไปมากแล้ว ยังมีที่ต้องไปอีกเยอะ (และต้องจ่ายค่าเข้าเพิ่ม) ก็เลยต้องตัดใจ
โปสเตอร์นิทรรศการ Kubrick
Metro สถานี Madeleine มี stained glass ข้างในด้วย
ขึ้นมาจาก Metro สถานี Madeleine เพื่อมุ่งหน้าตรงไปที่สวน Tuileries
อะไรไม่รู้ อยู่ตรง Place de la Madeleine
รถหน้าตาย้อนยุค
ร้านขายขนม Laduree ก็ยังมีลูกค้าคึกคัก
ระหว่างทาง จะผ่าน Place de la Concorde เป็นลานกว้าง เมื่อก่อนมีชื่อว่า Place de la Revolution มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์คือ ในยุคปฏิวัติฝรั่งเศส ที่นี่เป็นที่ตั้งของกิโยติน และเป็นที่ประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 14, Marie Antoinette รวมถึง Robespierre ด้วย
ปัจจุบันเป็นลานกว้าง มีเสา Obelisk ตั้งอยู่ ด้านหลังที่เห็นไกลๆ นั่นคือหอไอเฟล
รถสามล้อถีบสไตล์ปารีสก็มี แต่ไม่รู้ว่าราคาจะแพงกว่าบ้านเราแค่ไหน
เดินจาก Place de la Concorde มาหน่อยนึงก็ถึง Jardin des Tuileries
สวน Tuileries คนเยอะมาก ฝุ่นเยอะมาก
สวน Tuileries นี่ที่จริงแล้วก็อยู่ติดๆ กับ Louvre แต่วันที่ไป Louvre ก็ใช้เวลาไปซะเต็มวัน ไม่เหลือมาดู l’Orangeries ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่อยู่ในสวนนี่
งานที่แสดงใน l’Orangeries นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นภาพเขียน Impressionism (อีกแล้ว) ก็มีงานของคนดังๆ หลายคน เดินดูง่าย ไม่สับสน ขนาดเล็กกว่า d’Orsay ที่ไปเมื่อวาน เดินสบายๆ
คอลเลคชันไม่ใหญ่มาก แต่คุณภาพคับแก้ว
สิ่งหนึ่งที่ดีและน่าเอาอย่างของประเทศตะวันตก (ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส) คือถ้าเป็น senior citizen เอ้อ… แปลว่าอะไรดี ไม่ใช่ราษฎรอาวุโสนะ แต่เป็นพลเมืองของรัฐที่อายุมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว ก็จะได้สวัสดิการหลายๆ อย่าง เช่น ซื้อตั๋วรถได้ในราคาถูก, เข้าพิพิธภัณฑ์ได้ฟรีหรือได้ส่วนลด ฯลฯ
ลุงป้าแก่ๆ มาดูงานศิลปะด้วยกัน ก็น่ารักดี
ผลงานชิ้นเด่นที่แสดงใน l’Orangeries คือภาพ Water Lilies ของ Claude Monet แสดงยาวบนกำแพงในห้องรูปไข่สองห้อง
Water Lilies
ออกจาก l’Orangeries และสวน Tuileries แล้วก็เดินข้ามฝั่งมายังฝั่งใต้ของแม่น้ำ Seine โดยใช้สะพาน Pont des Arts
Pont des Arts กูเกิลทรานสเลตแปลให้ว่า Bridge of Arts
Pont des Arts เป็นสะพานไม้สำหรับให้คนเดินข้าม ดูๆ ไปก็เหมือนที่พักผ่อนหย่อนใจแบบหนึ่ง มีทั้งคนเล่นดนตรี วาดภาพ ขายของ นั่งคุย กินขนม ฯลฯ
กิจกรรมหนึ่งที่มีคนมาทำกันเยอะคือ ถ้าเป็นคู่รักมาด้วยกัน มักจะเอาแม่กุญแจมาคล้องที่สะพาน อธิษฐานแล้วโยนลูกกุญแจลงแม่น้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าวัฒนธรรมนี้มันมีที่มาที่ไปยังไง แต่เทศบาลปารีสก็ต้องคอยถอดเอารั้วบนสะพานมาเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ เมื่อแม่กุญแจมันเต็ม
แม่กุญแจหลากหลายแบบ
สองหนุ่มนี่มานั่งเล่นกีตาร์
ข้ามละพานมาแล้ว เดินเลียบริมแม่น้ำก็มีแผงของขายให้นักท่องเที่ยวได้เสียเงินกันตลอดแนว
หนังสือการ์ตูนเก่า
Pont แปลว่า สะพาน, Neuf แปลว่า 9
เจอ Messi ด้วย
วันที่เดินเที่ยวอยู่นี่เป็นวันที่ 28 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่ฟุตบอล UEFA แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศกำลังจะเตะกันที่สนามเวมบลีย์ที่ลอนดอน ทำให้เห็นคนใส่เสื้อบาร์เซโลนาเดินกันขวักไขว่ ส่วนอีกทีมนึงที่จะเตะกับบาร์เซโลนานั่นไม่ค่อยมีแฟนบอลใส่เสื้อให้เห็นสักเท่าไหร่
บริเวณที่กำลังเดินอยู่นี่เรียกกันว่า Latin Quartier เป็นโซนที่ร้านมีอาหารให้เลือกกินเยอะและหลากหลาย
ร้านอาหารเยอะ คนเยอะ
รู้สึกว่าอาหารที่มันย่างแบบหมุนๆ นี่น่ากินไปซะหมด
บาร์บีคิวก็มี
เวลาเดินผ่านบางร้าน เจอเศษจานแตกหน้าร้านก็ไม่ต้องตกใจ เป็นธรรมเนียมเก่าของการกินอาหารกรีก
มีคนเอาจานมาปาทิ้งให้ดูกันเห็นๆ เลย
ฝ่าดงผู้คนและร้านอาหารมาได้แล้วก็จะเจอกับร้านหนังสือ Shakespeare and Company ร้านหนังสือชื่อดัง ถ้าใครได้อ่าน Time Was Soft There (แปลไทยแล้วในชื่อ ปารีส / พำนัก / คน / รัก / หนังสือ ) หรือได้ดูฉากเปิดในหนัง Before Sunset ก็คงจะอยากมาที่นี่สักหน
หน้าร้าน ก็เป็นร้านหนังสือเล็กๆ เก่าๆ ธรรมดา
ด้านหน้ามีที่ให้นั่งอ่านได้
ด้านในร้าน
เนื่องจากอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก และไม่มีหนังสืออะไรอยากได้เป็นพิเศษ ก็ออกมาโดยไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาสักเล่ม ขี้เกียจแบก และของเก่าที่บ้านก็ยังอ่านไม่หมดเลยด้วยซ้ำ
ความรู้สึกวันนี้เหมือนชะโงกทัวร์มาก มีแค่ Père Lachaise กับ l’Orangerie ที่พอมีเวลาเดินเอาบรรยากาศบ้าง
ที่ต่อไปที่จะไปคือ Musée du quai Branly เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงงานศิลปะ วัฒนธรรม อารยธรรมจาก เอเชีย, อาฟริกา, โอเชียเนีย, และอเมริกา หรือง่ายๆ ก็คือวัฒนธรรมที่ไม่ใช่ยุโรปน่ะเอง
ด้านหน้า Musée du quai Branly
Musée du quai Branly นี่เป็นพิพิธภัณฑ์เปิดใหม่ (เพิ่งเปิดเมื่อปี 2006) ทำให้การออกแบบดูทันสมัย ไม่สับสน มีการแบ่งโซนต่างๆ อย่างดี
ทางเดินที่นำไปยังส่วนแสดงงาน เป็นฉายภาพเคลื่อนไหวของคำศัพท์ต่างๆ ไหลไปตามทางเดิน
งานที่จัดแสดงส่วนใหญ่จะเป็นของพื้นเมืองแปลกๆ เช่น รูปเคารพ อุปกรณ์ประกอบพิธีกรรม หรืออาวุธ ของชนพื้นเมืองจากหมู่เกาะในแถบแปซิฟิก บางอย่างก็ดูแปลกตา บางอย่างก็ดูหลอนๆ รวมกับการจัดแสง และสถานที่ที่ไม่ค่อยจะมีคนอยู่แล้วยิ่งดูหลอนหนักเข้าไปอีก
ของแปลกที่ปกติก็ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เห็น
พิพิธภัณฑ์มี App สำหรับ iPhone / iPad / Android เอาไว้ให้โหลด ช่วยเป็นไกด์ตอนเดินดูงานได้
หนังสือนำเที่ยวบางเล่มบอกว่า ไม่ควรพาเด็กเล็กๆ มาเที่ยวที่นี่
เนื่องจาก Musée du quai Branly นี่อยู่ในเขต 7 ใกล้กับหอไอเฟลนิดเดียว โปรแกรมวันนี้ก็เลยจัดหอไอเฟลไว้เป็นลำดับสุดท้าย จากที่วันแรกเห็นในระยะไกลมาแล้ว
เดินทะลุด้านหลังพิพิธภัณฑ์ออกมานิดเดียวก็เจอหอไอเฟลแล้ว
เดินไปถ่ายรูปหอไอเฟลได้แป๊บนึงก็รู้ตัวว่าต้องไปหาของกินก่อน เพราะบอลใกล้จะมาแล้ว ก็เลยแวะร้านจีน (ที่ดูเหมือน) ราคาถูกแถวนั้น รองท้องมื้อเย็นไปก่อน แล้วไปหา Cafe นั่งสั่งเบียร์ Kronenberg 1664 มา Pint หนึ่ง เพื่อดูบอล (รอบชิง UEFA แชมเปี้ยนส์ลีกตามเวลาบ้านเราเตะกันตอน 01:45 แต่ที่ปารีสนี่ก็ 2 ทุ่ม 45 เท่านั้นเอง)
Cafe หัวมุมถนน ใกล้สวน Champ de Mars เป็นทำเลใกล้หอไอเฟล ทำให้ราคาเบียร์แพงขึ้นไปมากกว่าเขตอื่นๆ แต่ก็คิดเสียว่าเอาบรรยากาศการเข้ามาดูบอลใน Cafe ในปารีส ปรากฏว่าบรรยากาศต่างกับใน pub ของอังกฤษลิบลับ ที่นี่ดูบอลกันเงียบๆ ไม่ส่งเสียงเชียร์อะไรเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะความต่างระหว่าง Cafe กับ pub และทีมจากฝรั่งเศสไม่ได้ลงเตะด้วย (หรือว่าปารีเซียงเป็นพวกรักษามาดเวลาอยู่ใน Cafe ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน)
บอลจบด้วยสกอร์ 3-1 แฟนบาร์เซโลนาก็ดีใจกันไป คาดว่าในลอนดอนคงอยู่กันเยอะ แต่ในปารีสนี่ไม่ค่อยมีให้เห็น (แต่เท่าที่สังเกตคนส่วนใหญ่ใน Cafe ก็เชียร์บาร์เซโลนานะ)
ออกมาถ่ายรูปหลังบอลจบ เวลาราวๆ เกือบห้าทุ่ม แต่คนแถว Champ de Mars ก็ยังเดินกันขวักไขว่อยู่
ไอเฟลยามค่ำคืน มุมจากสวน Champ de Mars
ปกติทุกชั่วโมง จะมีโชว์การแสดงแสงไฟบนหอไอเฟลด้วย กินเวลาประมาณ 10 นาที เป็นประกายระยิบระยับ สวยดี (ประมาณในคลิปนี้)
ด้านล่างก็ยังมีคนต่อคิวขึ้นไปข้างบนอยู่
การขึ้นหอไอเฟล สามารถขึ้นไปได้สองทาง คือเดินขึ้น หรือไม่ก็ขึ้นลิฟต์ ซึ่งถ้าเดินขึ้น จะขึ้นได้แค่ชั้นสอง แต่ถ้าขึ้นลิฟต์จะไปได้ถึงชั้นสูงสุด และทั้งสองวิธีล้วนเสียเงิน (แพงด้วย!) แถมยังมีคนต่อคิวยาวเหยียดแบบนี้ ก็เลยไม่ขึ้นดีกว่า ถ่ายรูปเอาแถวข้างล่างนี่แหละ
ถ่ายจากมุมข้างใต้ ใช้เลนส์ Lumix G 9-18mm (ทริปนี้ใช้คุ้มมาก)
ป้ายไฟ สลับภาษาฝรั่งเศส-อังกฤษได้ Bienvenue แปลว่า Welcome
ในมุมมองส่วนตัว คิดว่าหอไอเฟลมันเป็นสิ่งก่อสร้างที่ค่อนข้างมหัศจรรย์อยู่เหมือนกัน มีแรงดึงดูดคนที่ถือกล้องให้ถ่ายมันได้ในหลายๆ มุม แต่ละมุมก็จะได้ความรู้สึกต่างกันไป คิดๆ ดูแล้ว อาจจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนถ่ายภาพไว้มากที่สุดอันหนึ่งในโลกเลยก็ว่าได้
ชักภาพเอาไว้ไปใช้เป็น avatar ใน facebook, twitter ได้
จบวันที่ 6 ในปารีส วันรุ่งขึ้นเป็นวันสุดท้ายในปารีสแล้ว
ลิงก์ตอนเก่าๆ
Leave a Reply